ประวัติ

ช่วงแรกของวง (2539–2543)

ไมค์ ชิโนะดะ ได้ชมคอนเสิร์ตของวงแอนแทรกซ์และพับลิกเอเนมี ในช่วง พ.ศ. 2532-2533 และการแสดงในช่วงที่แฟนเพลงเรียกร้องให้ขึ้นเวทีอีกครั้ง ทั้งสองวงลุกขึ้นมาแสดงดนตรีร่วมกันในบทเพลง "บริงเดอะนอยส์" ซึ่งเป็นการจุดประกายให้ไมค์อยากทำงานในทิศทางเพลงนูเมทัล ลิงคินพาร์กจึงเริ่มต้นจากไมค์ ชิโนะดะ ผู้คลั่งไคล้ในวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอป กับแบรด เดลสัน มือกีตาร์สมัครเล่น ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่เกรด 7 (ประมาณ 13 ปี) ที่โรงเรียนมัธยมอะกูราฮิลส์ ในเมืองอะกูราฮิลส์ ชานเมืองของลอสแอนเจลิส โดยในช่วงแรก ไมค์รับหน้าที่ทำจังหวะบีทให้วงฮิปฮอป หลังจากนั้นจึงได้พบกับร็อบ บัวร์ดอน มือกลองในโรงเรียนใกล้ ๆ ในแถบซานเฟอร์นานโดวัลเลย์ และได้โจ ฮาห์น ดีเจผู้รู้จักกับไมค์ขณะศึกษาที่อาร์ตเซ็นเตอร์คอลเลจในแพซาดีนา รวมถึงเดฟ ฟีนิกซ์ ฟาร์เรล และมาร์ก เวกฟีลด์ มาเป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย แล้วร่วมตั้งวงดนตรีชื่อ ซีโร (Xero) ในปี พ.ศ. 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดการแสดงดนตรีเล็ก ๆ สร้างความครื้นเครงและความสนุกสนาน ในงานเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน และเริ่มบันทึกผลงานเพลงด้วยสตูดิโอชั่วคราวเล็ก ๆ ในห้องนอนของไมค์ในปี พ.ศ. 2539 ด้วยผลงานเทปเดโมที่มีชื่อว่า ซีโร ในเวลานั้นนักร้องนำของวง มาร์ก เวกฟีลด์ ได้ออกจากวงเพื่อหาโครงการอื่นทำ และเดฟ ฟาร์เรลก็ได้ออกจากวงเพื่อออกทัวร์กับวงอื่น ๆ
เมื่อซีโรมีโอกาสได้ไปแสดงดนตรีที่วิสกีอะโกโก คลับดังของลอสแอนเจลิส และด้วยฝีมือการแสดงดนตรีอันโดดเด่น จึงเป็นที่ถูกใจ เจฟฟ์ บลู แห่งซอมบามิวสิกพับลิชชิง และได้เซ็นสัญญาในที่สุด ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญและผลักดันให้ซีโรมีโอกาสในวงการดนตรีมากขึ้น เนื่องจากเจฟฟ์มีส่วนผลักดันให้ผลงานเพลงตัวอย่างของซีโร ให้เป็นที่รู้จักของผู้คนในวงการเพลงมากขึ้น ต่อมาซีโรได้เซ็นสัญญากับวอร์เนอร์บราเธอร์สเรเคิดส์อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากนั้นไม่นาน เจฟฟ์ได้ย้ายตามไปทำงานร่วมกันโดยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการผลิตด้วย ขณะนั้นซีโรต้องการสมาชิกเพิ่มในตำแหน่งนักร้องนำ เชสเตอร์ เบนนิงตัน จากรัฐแอริโซนาจึงเข้ามาเป็นสมาชิกคนต่อไปในฐานะนักร้องนำ โดยเชสเตอร์ได้รับเทปตัวอย่างที่ซีโรทำขึ้นจากสตูดิโอในห้องนอนของไมค์ นอกจากนี้ทั้งเชสเตอร์และไมค์รู้จักกันผ่านทางสำนักทนาย ไมเนียตเฟลปส์แอนด์เฟลปส์ ที่ทั้งคู่ใช้บริการ เชสเตอร์สนใจที่จะร่วมงานกับซีโรมาก จนถึงกับแอบหนีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบ 23 ปีของตนไปอย่างหน้าตาเฉย เพื่อรีบไปบันทึกเสียงร้องของตนลงเทปตัวอย่างกลางดึก จากนั้นได้โทรศัพท์เปิดเทปตัวอย่างให้กับทางวงฟัง ซึ่งทุกคนชอบมาก จึงรับเชสเตอร์เป็นสมาชิกใหม่ทันที
จากนั้นสมาชิกซีโรทั้งหมดตกลงใจเปลี่ยนชื่อวงเป็น ไฮบริดทีโอรี (Hybrid Theory) แต่บังเอิญไปซ้ำกับชื่อวงดนตรีของศิลปินกลุ่มอื่น จนในที่สุดจำต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็นวง ลิงคินพาร์ก (Linkin Park) ซึ่งเป็นชื่อที่แผลงตัวสะกดมาจาก ลินคอล์นพาร์ก (Lincoln Park) ซึ่งมีที่มาที่ไปจากการมองการณ์ไกลไปถึงการสร้างเว็บไซต์ประจำวง เนื่องจากมีการจดทะเบียนซื้อขายชื่อโดเมน ลินคอล์นพาร์ก.คอม (lincolnpark.com) ก่อนที่ทางวงจะไปขึ้นทะเบียนวงดนตรีของพวกตนไปเรียบร้อยแล้ว และหากยังคงต้องการใช้ชื่อนั้น ก็ต้องเตรียมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลแน่นอน นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกามีสวนสาธารณะชื่อลินคอล์นพาร์กอยู่หลายแห่ง ดังนั้นหากไปเปิดการแสดงดนตรีที่ใดก็ตาม จะกลายเป็นเหมือนกับวงดนตรีท้องถิ่นทั่วไป ที่สำคัญคือทุกคนชอบชื่อ ลินคอล์นพาร์ก และยังเป็นสถานที่ที่เชสเตอร์ขับรถผ่านภายหลังจากซ้อมดนตรีเสร็จเป็นประจำ ลินคอล์นพาร์กเป็นสถานที่แห่งหนึ่งของชนชั้นกลาง และคนจรจัดของเมืองแซนตามอนิกา และต่อมาลิงคินพาร์กได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่างดอน กิลมอร์ ผู้เคยร่วมงานกับศิลปินชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพิร์ล แจม, เอเพ็กซ์ ทีโอรี, ชูการ์ เรย์

อัลบั้ม ไฮบริดทีโอรี และ รีแอนิเมชัน (2543–2545)

ลิงคินพาร์กออกจำหน่ายผลงานอัลบั้มชุดแรกในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2543 จะใช้ชื่ออะไรไปไม่ได้นอกจากชื่อที่ยังคาใจทุกคนอยู่ นั่นก็คือ ไฮบริดทีโอรี (Hybrid Theory) ทุกคนยอมรับว่าเป็นวลีที่สรุปจุดมุ่งหมายของวงได้ดีที่สุด และต้องมีการใส่วงเล็บเพิ่มลงไปด้วย ซึ่งอัลบั้มนี้แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการทำผลงานของวงมาครึ่งทศวรรษ ไฮบริดทีโอรี ได้ประสบความสำเร็จในเชิงการค้าอย่างมาก โดยออกจำหน่ายได้มากกว่า 4.8 ล้านแผ่นภายในปีแรกที่ออกวางขาย จัดอยู่ในอันดับอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดในปี พ.ศ. 2544 ซิงเกิลในอัลบั้มนี้ เช่น "ครอว์ลิง" (Crawling) และ "วันสเต็ปโคลเซอร์" (One Step Closer) ได้เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นเพลงเด่นของนักจัดรายการวิทยุเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อกทั่วโลกในปีนั้น นอกจากนี้ ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้มนี้ได้นำไปเป็นเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น Dracula 2000Little Nicky, และ Valentineไฮบริดทีโอรี ได้ชนะรางวัลแกรมมีในผลงานเพลง "ครอว์ลิง" และได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงอีก 2 รายการ คือ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และอัลบั้มเพลงร็อกยอดเยี่ยม เอ็มทีวีได้มอบรางวัลให้กับลิงคินพาร์ก ในสาขาวิดีโอเพลงร็อกยอดเยี่ยม และรางวัลงานกำกับยอดเยี่ยมในผลงานเพลง "อินดิเอ็นด์" และผ่านเข้าไปเป็นผู้ชนะรางวัลแกรมมีในสาขาการแสดงดนตรีฮาร์ดร็อกยอดเยี่ยมในปี พ.ศ. 2544 ความสำเร็จโดยรวมของอัลบั้ม ไฮบริดทีโอรี ได้ทำให้ลิงคินพาร์กเป็นวงดนตรีที่หลาย ๆ คนรู้จัก
ในช่วงเวลานี้ ลิงคินพาร์กได้รับเชิญให้ไปแสดงดนตรีอีกมากมาย และออกทัวร์ในเทศกาลดนตรี แฟมิลีแวลูส์ (Family Values) ออซเฟสต์ (Ozzfest) และออลโมสต์อะคูสติกคริสต์มาส (KROQ Almost Acoustic Christmas) วงได้ทำงานด้วยกันกับ เจสซิกา สกลาร์ เพื่อก่อตั้งกลุ่มแฟนคลับของวงอย่างเป็นทางการ "ลิงคินพาร์กอันเดอร์กราวด์" ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ลิงคินพาร์กยังได้ก่อตั้งทัวร์ของวงเอง พรอเจกต์เรโวลูชัน (Projekt Revolution) ซึ่งร่วมกับศิลปินที่โดดเด่นอื่น ๆ เช่น ไซเพรสส์ฮิลล์ (Cypress Hill) อะดีมา (Adema) และสนูป ด็อกก์ (Snoop Dogg) ลิงคินพาร์กได้ออกแสดงทัวร์คอนเสิร์ตมากกว่า 320 คอนเสิร์ต[18] ประสบการณ์และการแสดงของวงนี้ได้บันทึกลงในผลงานดีวีดีแรก แฟรตปาร์ตีแอตเดอะแพนเค้กเฟสติวัล ซึ่งเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 และได้ชักชวนให้ฟีนิกซ์ (Pheonix) มือกีตาร์เบสของวงกลับเข้าร่วมงานด้วยกันอีกครั้ง ในฐานะสมาชิกคนที่ 6 ของลิงคินพาร์ก (แต่ในปกผลงานชุด ไฮบริดทีโอรี ลงเครดิตเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น) ลิงคินพาร์กได้เริ่มทำผลงานอัลบั้มรีมิกซ์ชุดแรก ชื่อว่า รีแอนิเมชัน ซึ่งจะรวมผลงานเพลงรวมถึงโบนัสแทร็กจากอัลบั้ม ไฮบริดทีโอรี มารีมิกซ์ รีแอนิเมชัน ออกจำหน่ายในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 ร่วมกับศิลปินรับเชิญ ได้แก่ แบล็ก ทอต โจนาธาน เดวิส แอรอน ลูอิส และอื่น ๆ อีกมากมาย รีแอนิเมชัน เข้าสู่อันดับสองใน บิลบอร์ด 200 และมียอดจำหน่ายได้เกือบ 270,000 แผ่นภายในสัปดาห์แรก ไฮบริดทีโอรี ยังได้ถูกจัดอันดับใน ยอดอัลบั้ม 100 อันดับ ของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา อีกด้วย

อัลบั้ม เมทีโอรา (2545–2547)

หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ อัลบั้ม ไฮบริดทีโอรี และ รีแอนิเมชัน ลิงคินพาร์กได้ใช้เวลาออกแสดงคอนเสิร์ตทัวร์รอบสหรัฐอเมริกา สมาชิกวงได้เริ่มทำงานโดยใช้เวลาว่างที่อยู่ในสตูดิโอของรถบัสทัวร์คอนเสิร์ตในการทำผลงานอัลบั้มใหม่ และประกาศอย่างเป็นทางการที่จะมีสตูดิโออัลบั้มใหม่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 แสดงให้เห็นถึงแรงบันดาลใจที่มาจากยอดเขาเมทีโอราในประเทศกรีซ ซึ่งมีวัดหรืออารามจำนวนมากที่ตั้งอยู่บนยอดของภูเขาหิน เปรียบเหมือนเพลงร็อกในอัลบั้ม เมทีโอรา โดยมีการผสมผสานของแนวเพลงนูเมทัล และแร็ป ด้วยเสียงใหม่ ๆ รวมถึงเสียงจากเครื่องดนตรีที่ชื่อว่าชากุฮะชิ (ฟลุตญี่ปุ่นทำมาจากไม่ไผ่) และอื่น ๆ อัลบั้มที่สองของลิงคินพาร์กนี้ได้ออกจำหน่ายในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2546 และได้รับการยอมรับจากผู้ฟังทั่วโลก เข้าสู่อันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร และอันดับ 2 ในออสเตรเลีย
เมทีโอรา จำหน่ายได้มากกว่า 800,000 แผ่นภายในสัปดาห์แรก และถูกจัดให้เป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในชาร์ตบิลบอร์ดในเวลานั้น ซิงเกิลในอัลบั้มนี้ ประกอบด้วย "ซัมแวร์ไอบีลอง", "เฟนต์", "นัมบ์", "ฟรอมดิอินไซด์" และ "เบรกกิงเดอะแฮบิต" โดยในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 เมทีโอรา ใกล้จำหน่ายได้ 3 ล้านชุด ลิงคินพาร์กจึงจัดพรอเจกต์เรโวลูชัน หรืองานเทศกาลดนตรีของลิงคินพาร์ก ซึ่งรวมวงดนตรีและศิลปินอื่นมาในงานนี้ด้วย ได้แก่ มัดเวนไบลนด์ไซด์ และเอกซ์ซิบิต นอกจากนี้ เมทัลลิกาได้เชิญลิงคินพาร์กมาเล่นที่งานซัมเมอร์แซนนิเทเรียมทัวร์ ในปี พ.ศ. 2546 ซึ่งรวมการแสดงจากศิลปินที่เป็นที่รู้จักอย่าง ลิมป์บิซกิต, มัดเวน และเดฟโทนส์ ลิงคินพาร์กออกจำหน่ายอัลบั้มบันทึกการแสดงสดชื่อว่า ไลฟ์อินเทกซัส ซึ่งประกอบด้วยแทร็กออดิโอและวิดีโอจากการแสดงดนตรีบางส่วนของวงที่เทกซัสระหว่างการออกทัวร์ ในต้นปี พ.ศ. 2547 ลิงคินพาร์กได้เริ่มทัวร์ที่มีชื่อว่า เมทีโอราเวิลด์ทัวร์ รวมถึงวงดนตรีที่สนับสนุนการทัวร์ครั้งนี้ ได้แก่ ฮูบาสแตงก์พี.โอ.ดี.สตอรีออฟเดอะเยียร์ และวงเพีย
เมทีโอรา ทำให้วงได้รับรางวัลในหลายรายการ โดยได้ชนะในรางวัลเอ็มทีวีในสาขาวิดีโอเพลงร็อกยอดเยี่ยมสำหรับเพลง "ซัมแวร์ไอบีลอง" และสาขาวิดีโอขวัญใจผู้ชมสำหรับเพลง "เบรกกิงเดอะแฮบิต" ลิงคินพาร์กยังได้รับการยอมรับในงานเรดิโอมิวสิกอะวอดส์ในปี พ.ศ. 2547 ชนะรางวัลศิลปินแห่งปีและรางวัลเพลงแห่งปีสำหรับเพลง "นัมบ์" ถึงแม้ว่า เมทีโอรา จะไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับ ไฮบริดทีโอรี แต่ก็ได้เป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดอันดับสามในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี พ.ศ. 2546 ลิงคินพาร์กใช้เวลาสองสามเดือนแรกในปี พ.ศ. 2547 ในการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก โดยครั้งแรกได้จัดทัวร์พรอเจกต์เรโวลูชันครั้งที่ 3 และอีกหลายคอนเสิร์ตต่อมาในยุโรป ในเวลาเดียวกัน ความสัมพันธ์ของวงกับวอร์เนอร์บราเธอร์สเรเคิดส์ได้เสื่อมถอยลงด้วยปัญหาทางการเงิน  หลังจากปัญหาที่เกิดขึ้น วงก็ได้เจรจาต่อรองข้อตกลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548

อัลบั้ม มินิตส์ทูมิดไนต์ (2549–2551)


ในปี พ.ศ. 2549 ลิงคินพาร์กได้กลับเข้าสตูดิโออีกครั้ง และเปลี่ยนแนวเพลง สำหรับโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้ คือ ริก รูบิน ถึงแม้จะมีการกล่าวว่าอัลบั้มใหม่จะออกในปี พ.ศ. 2549 แต่ก็ได้เลื่อนไปจนถึงปี พ.ศ. 2550 ไมค์ได้กล่าวว่าอัลบั้มเสร็จไปแล้วครึ่งทาง ในขณะที่ลิงคินพาร์กบันทึกเพลงได้สามสิบถึงห้าสิบเพลงในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 ต่อมาเชสเตอร์ได้กล่าวเพิ่มว่าอัลบั้มใหม่นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงให้แตกต่างออกไปจากอัลบั้มที่แล้วที่เป็นแนวนูเมทัล วอร์เนอร์บราเธอร์สเรเคิดส์ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามของลิงคินพาร์ก จะมีชื่อว่า มินิตส์ทูมิดไนต์ และจะออกจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 หลังจากที่ใช้เวลาไปสิบสี่เดือนในการทำผลงานอัลบั้ม สมาชิกในวงได้ปรับอัลบั้มโดยการคัดเลือกเพลงออกให้เหลือเพียงสิบสองเพลงจากเดิมที่มีอยู่สิบเจ็ดเพลง ชื่ออัลบั้มนั้นได้แนวคิดมาจากนาฬิกาโลกาวินาศซึ่งมาจากนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก หลังจากสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลง แสดงให้เห็นถึงเนื้อหาในเพลงในรูปแบบใหม่ของวง มินิตส์ทูมิดไนต์ มียอดจำหน่ายมากกว่า 625,000 แผ่นภายในสัปดาห์แรก ทำให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เปิดตัวในสัปดาห์แรกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งปี นอกจากนี้อัลบั้มนี้ยังติดอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดอีกด้วย
ซิงเกิลแรกของอัลบั้ม "วอตไอฟ์ดัน" ออกจำหน่ายในวันที่ 2 เมษายน และออกเผยแพร่เป็นครั้งแรกในเอ็มทีวีและฟิวส์ทีวีภายในสัปดาห์เดียวกัน[56] ซิงเกิลนี้ได้รับการชื่นชมจากผู้ฟัง และเป็นเพลงที่อยู่ในอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงอัลเทอร์เนทีฟและเพลงเมนสตรีมร็อกของบิลบอร์ด[57] เพลงนี้ยังได้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2550 ในเรื่อง ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส มหาวิบัติจักรกลสังหารถล่มจักรวาล ไมค์ ชิโนะดะยังได้เป็นศิลปินรับเชิญให้กับวงสไตลส์ออฟบียอนด์ ในผลงานเพลง "เซคันด์ทูนัน" ซึ่งได้รวมเป็นเพลงประกอบของภาพยนตร์นี้อีกด้วย ในปีต่อมา ลิงคินพาร์กได้ชนะในรางวัล "ศิลปินแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อกยอดเยี่ยม" ในงานอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด[58] ลิงคินพาร์กได้ประสบความสำเร็จจากซิงเกิลที่เหลือในอัลบั้ม ได้แก่ "บลีดอิตเอาต์" "แชโดว์ออฟเดอะเดย์" "กิฟเวนอัป" และ "ลีฟเอาต์ออลเดอะเรสต์" ซึ่งได้ออกจำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2550 และต้นปี พ.ศ. 2551 และยังได้ทำงานเป็นศิลปินรับเชิญร่วมกับบัสตา ไรมส์ ในซิงเกิล "วีเมดอิต" ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 29 เมษายน[59]
ลิงคินพาร์กได้เริ่มจัดงานคอนเสิร์ตทัวร์รอบโลก ในชื่อว่า "มินิตส์ทูมิดไนต์เวิลด์ทัวร์" ได้โปรโมตการออกจำหน่ายของอัลบั้มนี้โดยจัดทัวร์พรอเจกต์เรโวลูชันครั้งที่สี่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รวมการแสดงจากนักดนตรีและวงดนตรีหลาย ๆ ท่านด้วยกันอย่างมายเคมิคอลโรแมนซ์ เทกกิงแบ็กซันเดย์ ฮิม พลาซีโบ และอื่น ๆ อีกมากมาย และยังได้เล่นในโชว์เป็นจำนวนมากในยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ซึ่งรวมการแสดงที่ไลฟ์เอิร์ทเจแปนในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 และงานดาวน์โหลดเฟสติวัล ในดอนิงตันพาร์ก ประเทศอังกฤษ และงานเอดจ์เฟสต์ ในดาวส์วิวพาร์ก ที่โทรอนโต ประเทศแคนาดา ลิงคินพาร์กเสร็จสิ้นการทัวร์ในพรอเจกต์เรโวลูชันครั้งที่สี่ ก่อนที่จะจัดงานทัวร์รอบสหราชอาณาจักรในเมืองต่าง ๆ ได้แก่ นอตทิงแฮม เชฟฟีลด์ และแมนเชสเตอร์ ก่อนที่จะเสร็จงานที่จัดสองคืนที่ดิโอทูอาเรนาในลอนดอน เชสเตอร์ได้กล่าวว่าลิงคินพาร์กวางแผนที่จะออกผลงานชุดต่อมาจาก มินิตส์ทูมิดไนต์[61] อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้กล่าวว่าวงจะเริ่มจัดทัวร์ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อรวบรวมแรงบันดาลใจที่จะทำอัลบั้ม[61] ลิงคินพาร์กเริ่มจัดทัวร์พรอเจกต์เรโวลูชันอีกในปี พ.ศ. 2551 เป็นทัวร์ครั้งแรกของพรอเจกต์เรโวลูชันที่จัดขึ้นในยุโรปด้วยการแสดงสามครั้งที่เยอรมนีและหนึ่งครั้งที่สหราชอาณาจักร โปรเจ็คต์เรโวลูชันทัวร์ยังได้จัดในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ซึ่งร่วมกับ คริส คอร์เนลล์เดอะเบรเวอรีแอชเชสดิไวด์สตรีตดรัมคอปส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ลิงคินพาร์กได้สำเร็จการออกทัวร์ด้วยการแสดงครั้งสุดท้ายที่เทกซัส ไมค์ ชิโนะดะได้ประกาศออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสด ชื่อว่า โรดทูเรโวลูชัน: ไลฟ์แอตมิลตันคีนส์ ซึ่งเป็นวิดีโอบันทึกการแสดงสดจากพรอเจกต์เรโวลูชันที่จัดขึ้นในมิลตันคีนส์ ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ซึ่งออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อัลบั้ม อะเทาซันด์ซันส์ (2551–2554)

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 ลิงคินพาร์กได้ประกาศว่ากำลังทำผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่สี่ ซึ่งวางแผนว่าจะออกจำหน่ายภายในปี พ.ศ. 2553 ไมค์ได้บอกกับไอจีเอ็นว่าอัลบั้มใหม่จะเป็นการดัดแปลงแนวเพลง โดยองค์ประกอบโดยรวมของเพลงยังคงคล้าย ๆ กับอัลบั้ม มินิตส์ทูมิดไมต์[63] นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าอัลบั้มนี้จะเป็นการทดลองที่ทำให้เพลงมีลักษณะที่ทันสมัยมากขึ้นและ[64] เชสเตอร์ยังได้พูดถึงสื่อที่จะยืนยันว่า ริก รูบิน จะกลับเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับอัลบั้มใหม่นี้ด้วย ต่อมาลิงคินพาร์กได้ประกาศว่าอัลบั้มนี้จะมีชื่อว่า อะเทาซันด์ซันส์[65] ขณะกำลังทำผลงานอัลบั้มใหม่ ลิงคินพาร์กก็ได้ทำงานกับนักแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ ฮันส์ ซิมเมอร์ เพื่อที่จะผลิตดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส อภิมหาสงครามแค้น และออกซิงเกิล "นิวดิไวด์" ประกอบภาพยนตร์นี้อีกด้วย อีกทั้งโจ ฮาห์น ก็ได้กำกับมิวสิกวิดีโอให้กับเพลงนี้อีกด้วย ซึ่งจะมีภาพจากภาพยนตร์ปรากฏอยู่ในมิวสิกวิดีโอ[66] ในวันที่ 22 มิถุนายน หลังจากที่ภาพยนตร์นี้ออกฉายครั้งแรกแล้ว ลิงคินพาร์กได้แสดงดนตรีเล็ก ๆ ที่เวสต์วูดวิลเลจ ลอสแอนเจลิส[67] และหลังจากนั้นลิงคินพาร์กก็กลับมาทำผลงานอัลบั้มต่อจนเสร็จ[68]
ในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553 ลิงคินพาร์กได้ออกเกม "8-บิตรีเบลเลียน!" (8-Bit Rebellion!) สำหรับไอพอด ไอโฟน และไอแพด จุดเด่นของเกมคือมีตัวละครในเกมเป็นสมาชิกในวง ภายในเกมประกอบด้วยเพลง "แบล็กเบิร์ดส" จะถูกปลดล็อกเมื่อผู้เล่นเล่นเกมจบ ต่อมาเพลงนี้ได้รวมอยู่ในโบนัสแทร็กในอัลบั้ม อะเทาซันด์ซันส์ อีกด้วย และในวันที่ 6 มิถุนายน ลิงคินพาร์กเปิดเผยว่าอัลบั้มใหม่ใกล้เสร็จแล้ว จนในวันที่ 8 กรกฎาคม ลิงคินพาร์กประกาศกำหนดวันออกอัลบั้มอย่างเป็นทางการ รวมทั้งประกาศรายชื่อเพลงในอัลบั้ม นอกจากนี้ยังมีการกำหนดการจัดคอนเสิร์ตครั้งแรกของปี พ.ศ. 2553 ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน
อะเทาซันด์ซันส์ ออกจำหน่ายในวันที่ 8 กันยายน และออกซิงเกิลแรก "เดอะแคทาลิสต์" ในวันที่ 2 สิงหาคม ลิงคินพาร์กได้โปรโมตอัลบั้มใหม่โดยการเปิดตัวทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งได้เริ่มในลอสแอนเจลิสในวันที่ 7 กันยายน ลิงคินพาร์กยังได้ใช้มายสเปซในการโปรโมตอัลบั้ม และได้ออกเพลงอีกสองเพลง ได้แก่ "เวตติงฟอร์ดิเอ็นด์" ซึ่งเป็นซิงเกิลที่สองของอัลบั้ม และ "แบล็กเอาต์" ในวันที่ 8 กันยายน นอกจากนี้ ยังได้ทำสารคดีเกี่ยวกับการผลิตอัลบั้มนี้ มีชื่อว่า เดอะมีตติงออฟอะเทาซันด์ซันส์ อยู่ในหน้ามายสเปซของลิงคินพาร์ก โดยในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553 มีการประกาศว่าลิงคินพาร์กจะทำการแสดงสดซิงเกิลในอัลบั้มเป็นครั้งแรกที่งานเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2010 ในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553 สถานที่จัดงานของการเปิดตัวการแสดงสดนี้อยู่ที่หอดูดาวกริฟฟิท สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ลิงคินพาร์กได้เข้าสู่อันดับ 8 ใน บิลบอร์ด โซเชียล 50 ซึ่งเป็นอันดับชาร์ตของศิลปินที่ทำผลงานอย่างต่อเนื่องในเครือข่ายสังคมชั้นนำของโลก[80] ลิงคินพาร์กได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบิลบอร์ดหกรางวัลในปี พ.ศ. 2554 ได้แก่ ยอดกลุ่มดนตรี อัลบั้มเพลงร็อกยอดเยี่ยมสำหรับอัลบั้ม อะเทาซันด์ซันส์ ยอดศิลปินร็อก ยอดศิลปินอัลเทอร์เนทีฟ ยอดเพลงอัลเทอร์เนทีฟสำหรับเพลง "เวตติงฟอร์ดิเอ็นด์" และยอดอัลบั้มเพลงอัลเทอร์เนทีฟสำหรับอัลบั้ม อะเทาซันด์ซันส์ แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ชนะรางวัล

อัลบั้ม ลิฟวิงทิงส์ และ รีชาจด์ (2554–2556)

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 เชสเตอร์บอกกับ โรลลิงสโตน ว่าลิงคินพาร์กตั้งเป้าหมายที่จะผลิตอัลบั้มใหม่ในทุก 18 เดือน และเขาจะตกใจถ้าอัลบั้มใหม่ไม่ได้ออกในปี พ.ศ. 2555 หลังจากที่เขาเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์อื่น ๆ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ว่าวงยังคงอยู่ในช่วงเริ่มทำผลงานอัลบั้ม เขาบอกว่า "เราเพิ่งจะเริ่มต้น เราอยากจะเก็บสิ่งสร้างสรรค์ต่าง ๆ ที่เราคิด เราจึงพยายามที่จะเก็บมันซึ่งมันจะหายไปจากความคิดเราตลอดเวลา...เราจะไปในทิศทางที่เรากำลังจะไป"[82] ต่อมา ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555 ไมค์ได้ยืนยันว่าวงกำลังถ่ายทำมิวสิกวิดีโอของเพลง "เบิร์นอิตดาวน์"[83][84] โดยมี โจ ฮาห์น เป็นผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ[85] ไมค์บอกกับ โค.ครีเอต เกี่ยวกับภาพหน้าปกอัลบั้ม เขาบอกว่า "มันจะทำให้แฟนคลับประทับใจ...ในแบบที่คนทั่วไปจะไม่สามารถทำได้แค่มองดูภาพแล้วก็ไป ผมเข้าใจว่ามันเพิ่งเสร็จสมบูรณ์ มันจะไม่เป็นเพียงแค่รูป แต่การสร้างรูปนี้ขึ้นมามันจะเป็นวิธีที่ใหม่โดยสิ้นเชิง มันจะเป็นแบบนั้น"[86]
ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555 ไมค์ได้ประกาศว่า ลิฟวิงทิงส์ จะเป็นชื่อของอัลบั้มที่ห้าของลิงคินพาร์ก[87] ไมค์ได้กล่าวว่าพวกเขาเลือกชื่อ ลิฟวิงทิงส์ ก็เพราะว่าเป็นอัลบั้มที่เกี่ยวกับเรื่องราว ความสัมพันธ์ของบุคคล และใช้บุคคลมากกว่าอัลบั้มที่แล้ว[88] ลิงคินพาร์กได้โปรโมตอัลบั้มนี้ในงาน ฮอนด้าซีวิกทัวร์ ด้วยกันกับวงอินคูบัส โดยเล่นเพลง "เบิร์นอิตดาวน์" ที่งานประกาศผลรางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอะวอร์ดประจำปี 2555 โดยในวันที่ 24 พฤษภาคม ได้ออกเผยแพร่มิวสิกวิดีโอของเพลง "เบิร์นอิตดาวน์" และเปิดตัวเพลง "ไลส์กรีดมิสเซอรี" อีกเพลงจาก ลิฟวิงทิงส์ ออกทางบีบีซีเรดิโอ 1 และเพลง "พาวเวอร์เลส" เพลงลำดับที่สิบสองและลำดับสุดท้ายของอัลบั้ม ได้นำไปเป็นเพลงปิดของภาพยนตร์ อับราฮัม ลินคอล์น: แวมไพร์ฮันเตอร์[89]
ลิฟวิงทิงส์ ออกจำหน่ายได้มากกว่า 220,000 แผ่นภายในสัปดาห์แรก ติดอันดับ 1 ในชาร์ตอัลบั้มสหรัฐอเมริกา[90] ซิงเกิลของลิงคินพาร์ก "คาสเซิลออฟกลาส" ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงใน 'เพลงประกอบเกมยอดเยี่ยม' ในงานประกาศผลรางวัลสไปก์วิดีโอเกมอะวอร์ดประจำปี 2555 และยังแสดงดนตรีในงานมอบรางวัลในวันที่ 7 ธันวาคม อีกด้วย แต่ได้พลาดรางวัล และผู้ชนะคือเบ็ก ในผลงานเพลง "ซิตีส์"[91] ลิงคินพาร์กยังได้เล่นเพลงที่งานซาวด์เวฟ (Soundwave) เทศกาลดนตรีในออสเตรเลีย โดยได้ร่วมเวทีกับเมทัลลิกาพาร์อะมอร์สเลเยอร์ และซัม 41[92]
ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ลิงคินพาร์กได้ร่วมงานกับนักดนตรีชาวอเมริกัน สตีฟ อะโอะกิ ในผลงานเพลง "อะไลต์แดตเนเวอร์คัมส์" ประกอบเกมออนไลน์แนวปริศนาผจญภัยของลิงคินพาร์ก แอลพีรีชาร์จ (LP Recharge, ย่อมาจาก Linkin Park Recharge) ซึ่งเปิดตัวให้เล่นในเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ แอลพีรีชาร์จ ในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 ในวันที่เกมนี้ออก ลิงคินพาร์กก็ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กว่าเพลงที่ใช้ในเกมนี้จะรวมอยู่ในอัลบั้มรีมิกซ์ชุดใหม่ของวง มีชื่อว่า รีชาจด์ ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ในรูปแบบแผ่นซีดี, ไวนิล และดิจิตอลดาวน์โหลด คล้ายกันกับ รีแอนิเมชัน โดยอัลบั้ม รีชาจด์ นี้จะใช้ผลงานเพลงจากอัลบั้ม ลิฟวิงทิงส์ นำมารีมิกซ์ และได้ทำงานร่วมกับศิลปินอื่น เช่น ริว จากสไตลส์ออฟบียอนด์, พุชาที, แดตซิก, คิลล์โซนิก, บันบีมันนีมาร์ก และริก รูบิน[93][94] ลิงคินพาร์กยังได้ทำผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ มอลล์ (Mall) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดยโจ ฮาห์น[95]

อัลบั้ม เดอะฮันติงปาร์ตี (2556–ปัจจุบัน)

ในระหว่างการสัมภาษณ์กับฟิวส์ ไมค์ได้ยืนยันว่าลิงคินพาร์กจะเริ่มบันทึกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของวงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557[96] และได้ออกซิงเกิลแรกจากอัลบั้มที่กำลังจะออกจำหน่าย ในผลงานเพลง "กิลตีออลเดอะเซม" ในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผ่านทางชาแซม[97] ในวันต่อมาได้ออกจำหน่ายซิงเกิลโดยผ่านวอร์เนอร์บราเธอร์สเรเคิดส์ และเข้าสู่อันดับที่ 28 ในบิลบอร์ดร็อกแอร์เพลย์ชาร์ต (Billboard Rock Airplay charts) ก่อนที่จะติดอันดับ 1 ในชาร์ตเมนสตรีมร็อก ในสัปดาห์ต่อมา[98][99] ในเวลาไม่นานหลังจากซิงเกิลนี้ได้ออกจำหน่าย ลิงคินพาร์กก็ได้ประกาศชื่ออัลบั้มใหม่ในชื่อว่า เดอะฮันติงปาร์ตี อัลบั้มนี้มีไมค์ ชิโนะดะ และแบรด เดลสัน เป็นโปรดิวเซอร์ ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างองค์ประกอบทางดนตรีในสตูดิโออัลบั้มชุดแรก ไฮบริดทีโอรี ซึ่งจะนำแนวเพลงจากอัลบั้มชุดแรกกลับมาอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย[100] ไมค์ได้ออกความเห็นว่าอัลบั้มนี้เป็น "การบันทึกเพลงร็อกแบบยุค 90" เขาอธิบายว่า "มันคือการบันทึกเพลงร็อก มันเสียงดังและมันร็อก แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกในแบบที่คุณเคยได้ยินมาก่อน ซึ่งมันจะเหมือนกับ 'ฮาร์ดคอร์-พังก์-แทรชในยุค 90' "[101] อัลบั้มนี้มีศิลปินรับเชิญมาทำงานร่วมกันกับลิงคินพาร์ก ได้แก่ ราคิมเพจ แฮมิลตัน จากเฮลเมตทอม โมเรลโล จากเรจอะเกนสต์เดอะแมชชีน และดารอน มาลาเคียน จากซิสเตมออฟอะดาวน์[102][103] อัลบั้ม เดอะฮันติงปาร์ตี ออกจำหน่ายในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ในประเทศส่วนใหญ่ และต่อมาได้ออกจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 17 มิถุนายน[104]
ลิงคินพาร์กแสดงคอนเสิร์ตที่งานดาวน์โหลดเฟสติวัล (Download Festival) ในวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557 โดยเล่นเพลงทั้งหมดจากอัลบั้มแรกของวง ไฮบริดทีโอรี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เล่นเพลงครบทุกเพลงในอัลบั้มนี้[17][105][106][107] ลิงคินพาร์กได้ออกแสดงคอนเสิร์ตร็อกแอมริงและร็อกอิมพาร์ก (Rock am Ring and Rock im Park) ในปี พ.ศ. 2557 พร้อมกับเมทัลลิกา คิงส์ออฟลีออน และไอเอิร์นเมเดน[108][109] และจะออกคอนเสิร์ตกับไอเอิร์นเมเดนอีกครั้งในงานกรีนฟีลด์เฟสติวัล (Greenfield Festival) ในปี พ.ศ. 2557[110] ในวันที่ 22 มิถุนายน ลิงคินพาร์กได้ออกงานอย่างเงียบ ๆ และเซอร์ไพรส์ที่งานแวนส์วาปด์ทัวร์ (Vans Warped Tour) โดยเล่นกับสมาชิกวงอิสชูส์ เดอะเดวิลแวรส์พราดา อะเดย์ทูรีเมมเบอร์เยลโล่คาร์ด เบรทแคโรลินา ฟินช์ และแมชชีน กัน เคลลี[111] ในเดือนกรกฎาคม พวกเขาได้ประกาศออกทัวร์คอนเสิร์ตว่าจะจัดในยุโรปในเดือนพฤศจิกายน และจะมีวงดนตรีเมทัลคอร์อย่างออฟไมซ์แอนด์เมนมาเป็นผู้สนับสนุนหลักของวงด้วย[112]ลิงคินพาร์กยังมีกำหนดที่จะเริ่มดำเนินการออกทัวร์ ชื่อว่า คาร์นิวอรส์ทัวร์ (Carnivores Tour) กับวงดนตรีร็อกชาวอเมริกัน เทอร์ตีเซคันส์ทูมาส์ ซึ่งจะใช้เวลา 25 วันในเดือนสิงหาคมและกันยายน พ.ศ. 2557 ในอเมริกาเหนือ[113]
ลิงคินพาร์กมีการแสดงที่ เดอะวิลเทิร์น ในลอสแอนเจลิส เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงการฉลองครบรอบ 50 ปีของ กีตาร์เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายของร้านค้าขายปลีกเครื่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม[114] และมีการแสดงที่งานร็อกอินริโอยูเอสเอเฟสติวัลในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ด้วยกันกับเมทัลลิกาโนเดาต์เทย์เลอร์ สวิฟต์จอห์น เลเจนด์, และเดฟโทนส์[115]

สตูดิโออัลบั้มชุดที่เจ็ด (2558–ปัจจุบัน)

ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ลิงคินพาร์กได้เปลี่ยนรูปปกของหน้าเฟซบุ๊กพร้อมกับลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เขียนไว้ว่าพวกเขาได้เริ่มงานที่จะทำอัลบั้มใหม่แล้ว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น